จุรินทร์ ปัดตอบเงื่อนร่วมรัฐบาลต่อ ชี้ พรรคมีกฎ ตอบผู้เดียวมิได้ จนกระทั่งเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 เดือนมีนาคม ที่สภานิติบัญญัติ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯรวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับปรุงรัฐธรรมนูญว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ปฏิบัติภารกิจสุดความสามารถแล้ว สำหรับเพื่อการส่งเสริมให้การปรับแก้รัฐธรรมนูญบรรลุความสำเร็จ แต่ว่ารับรองว่าพรรคอยากมองเห็นการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าถัดไปเพื่อพาประเทศไปสู่ระบบประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับอนาคตการบ้านการเมืองของเมืองไทย เพราะฉะนั้นจะต้องมานั่งคิดหลังจากนี้ว่าจำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญในแบบไหน ยังไง ที่คิดได้ในขณะนี้เป็นจะต้องเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราและก็จำเป็นต้องย้อนกลับไปสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น ว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหาที่สำคัญอันหนึ่งเป็นมีกุญแจดอกใหญ่เกี่ยวประตูระบบประชาธิปไตยไว้ไม่ให้เปิดออกไปหรือเปิดยากมากมาย โน่นเป็นมาตรา 256 ในเรื่องเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีวิธีการที่กำหนดไว้สลับซับซ้อนมากมาย ดังเช่นว่าเว้นเสียแต่จะต้องใช้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของห้องประชุมร่วมแล้ว ในปริมาณเสียงเกินครึ่งหนึ่งยังจะต้องเป็นเสียงของวุฒิสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 และก็ควรมีเสียงฝ่ายค้านไม่น้อยกว่าจำนวนร้อยละ 20 ถ้าไม่แก้มายี่ห้อ 256 หรือสะเดาะกุญแจดอกนี้ออกก่อน ประตูระบบประชาธิปไตยก็เปิดออกได้ยาก
สำหรับอนาคตก็จะทำให้เกิดการปรับแต่งมาตราหรือเรื่องอื่นๆแทบจะเรียกว่ามิได้เลยหรือยากยิ่ง ดังนี้การจะยื่นปรับแก้มมาตราดังกล่าวข้างต้นก็ควรจะมีการปรึกษาหารือกันในส่วนของคณะกรรมการติดต่อประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่จำเป็นต้องไปคุยกันถัดไปว่าจะทำงานยังไง ด้วยเหตุว่าพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวเสียงน้อยเกินไปที่จะยื่นญัตติปรับแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา
เมื่อถามคำถามว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นข้อจำกัดสำหรับเพื่อการร่วมรัฐบาลหรือเปล่า นายจุรินทร์ พูดว่า เป็นข้อแม้สำหรับในการร่วมรัฐบาล ไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังจำต้องเดินหน้า ถ้าเกิดเมื่อใดรัฐบาลยังไม่แปลงแนวทางในประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญที่ผูกพันต่อสภานิติบัญญัติ พรรคประชาธิปัตย์ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาลสำหรับการส่งเสริมปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้เดินหน้าถัดไปได้
“จะต้องไปถามพรรคพลังประชาชนเมือง ตนขอตอบในฐานะของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรรคการบ้านการเมืองอื่นนับว่าเป็นดุลยพินิจสำหรับการตกลงใจ ส่วนประชาธิปัตย์อยู่ในห้องประชุม และก็ลงความเห็นกระทั่งนาทีท้ายที่สุดก็เป็นจุดยืนของพวกเรา เพราะว่าพวกเราปรารถนาปฏิบัติหน้าที่เพื่อโหวตลงคะแนนเห็นดีเห็นงามสำหรับในการปรับปรุงรัฐธรรมนูญกระทั่งสุดทาง ที่พวกเราสามารถทำเป็นแล้วตามหน้าที่ของพวกเรา ตนมีความรู้สึกว่าพสกนิกรแลเห็นแล้วก็รู้เรื่อง หัวข้อการร่วมรัฐบาล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบผู้เดียวมิได้ ในพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผู้ใดตอบผู้เดียวได้ ตนมีความคิดว่าสิ่งที่จำต้องคิดถัดไป เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญจำต้องเดินหน้าปรึกษาขอคำแนะนำกันกับพรรคร่วมรัฐบาลสำหรับการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบอย่างใดแบบหนึ่งถัดไป”
นายจุรินทร์ พูดถึงกระแสเรียกร้องให้ทวนเรื่องร่วมรัฐบาลว่า เป็นไปตามข้อกำหนดพรรค ด้วยเหตุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคการเมืองของใครสักคน ควรจะเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์พรรค
เมื่อถามหาเหตุการณ์การบ้านการเมืองในอนาคตที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการยุบที่ประชุม นายจุรินทร์ บอกว่า การยุบที่ประชุมเป็นกลไกหนึ่งในระบบประชาธิปไตย นาชูรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะยุบสภาได้ แม้กระนั้นถ้าหากขึ้นจริงก็จะย้อนกลับไปที่ข้อคิดเห็นของสังคมเมื่อหลายเดือนล่วงมาแล้ว กำหนดไว้ว่าถ้าเกิดมีการยุบสภาพวกเราก็จะย้อนกลับไปใช้ข้อตกลงเดิมที่เป็นอยู่ในตอนนี้ การบ้านการเมืองก็บางครั้งอาจจะย้อนมาที่เดิม คนไม่ใช่น้อยบางทีอาจกำเนิดปัญหาว่าเพราะอะไรยุ่งแม้กระนั้นกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ให้ความใส่ใจสำหรับการขจัดปัญหาชีวิต ตนการันตีว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำสองหัวข้อนี้พร้อม รวมทั้งให้ความเอาใจใส่มากพอๆกับกันเลย
ส่วนการจัดทำมติมหาชนเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น นายจุรินทร์ บอกว่า ไม่รู้ว่าจะทำหลักสำคัญใด แต่ว่าพวกเราจะส่งเสริมร่างพระราชบัญญัติมติมหาชน ให้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นข้อบังคับสำคัญที่จะใช้ดำเนินงานสำหรับการปรับปรุงรัฐธรรมนูญถัดไป เพราะเหตุว่ามีการระบุว่าถ้าเกิดจะปรับแก้บางมาตรา จำเป็นจะต้องทำมติมหาชน โดยเหตุนี้ หากไม่มีข้อบังคับมติมหาชน การแก้รัฐธรรมนูญก็จะมาติดหล่ม โดยเหตุนั้น พวกเราจำต้องผ่านข้อบังคับมติมหาชนไว้ก่อนเพื่ออนาคต